ประวัติชุดไทยชุดไทยรัชกาลที่ 1-9


ประวัติชุดไทยชุดไทยรัชกาลที่ 1-9

รัชกาลที่1และ2 สืบทอดการแต่งกายจากสมัยอยุธยา

        หลังจากสร้างกรุงใหม่บ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ขนบธรรมเนียมต่างๆสมัยกรุงเก่ามีการรื้อฟื้นขึ้นรวมถึงการแต่งกายด้วย สตรีในราชสำนักนุ่งจีบไว้ชายพกมีชายสะบัดสามเหลี่ยม ห่มสไบ มีสะพักทับทำจากผ้าตาดทองปักปีกแมลงทับหรือผ้าปักไหม ไว้ผมสองชั้นชั้นล่างยาวประบ่าผมด้านบนตัดสั้นใส่น้ำมันหวีเสยหรือหวีแสกกลาง รูปแบบการแต่งกายนี้สืบต่อไปถึงช่วงกลางรัชกาลที่3อนึ่ง การไว้ผมยาวของสมัยต้นกรุงนั้นจะสั้นกว่าสมัยกรุงเก่าเล็กน้อย และจะสั้นขึ้นอีกในสมัยร.2 และจะสั้นแบบผมผู้ชายในสมัยร. 3จิตรกรรมร่วมสมัย

รัชกาลที่3 ผมสั้นนุ่งจีบห่มสไบ
           
                สมัยรัชกาลที่3มีการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายไปจากเดิมคือมีความเรียบง่ายขึ้น สไบที่ห่มมีการจับจีบ ผ้านุ่งนั้นพับเอาชายสะบัดไปไว้ในผ้านุ่ง ผมนั้นนิยมตัดสั้นคล้ายผมผู้ชาย ในภาพนุ่งผ้าพิมพ์ลายอย่างจีบหน้านาง ไว้ชายพก ห่มสไบอัดกลีบ สะพักด้วยผ้ากรองทองการแต่งกายสมัยรัชกาลที่3นี้ผมตีความจากภาพจิตรกรรมร่วมสมัย รวมถึงการวิเคราะห์ตามเอกสารโบราณร่วมสมัยครับ รวมถึงสีสันของชุดสื่อถึงเครื่องถ้วยกระเบื้องเคลือบจีนอันมีสีโทนสดใส
รัชกาลที่4 นุ่งจีบห่มสไบตัวเปล่า

              สมัยรัชกาลที่4เริ่มมีการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาใช้บ้างเช่นเครื่องแต่งการบุรุษ ส่วนเครื่องแต่งกายสตรีนั้นยังคงรูปแบบเดิมอยู่คือการนุ่งจีบห่มสไบ ช่วงปลายรัชกาลเริ่มมีการสวมเสื้อห่มสไบและนุ่งโจงสำหรับสตรีที่ติดตามการแปรพระราชฐานในภาพแต่งกายตามแบบโบราณคือนุ่งจีบ ห่มสไบอัดกลีบ ห่มสะพักแถบแคบ ไว้ผมสั้น มีผมทัดอยู่บริเวณหู นุ่งห่มสีตัดกันตามคู่สี ในภาพนุ่งม่วงห่มโศกอันเป็นสีจองวันอังคารกับวันเสาร์

รัชกาลที่5 สวมเสื้อ ห่มสายสะพาย นุ่งโจง
               ช่วงต้นรัชกาลมีพระราชประสงค์ให้ฝ่ายในสวมเสื้อแทนการห่มสไบตัวเปล่า ต่อมาแบบเสื้อมีการพัฒนาขึ้นจาก
เสื้อแบบเรียบๆเริ่มมีการแต่งลูกไม้ แขนพองเป็นขาหมูแฮม และพัฒนาไปเป็นเสื้อคอตั้ง เสื้อคอเว้า อันเป็นผลมาจากการ
แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชาติตะวันตก เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมีอารยะของชาติเพื่อให้รอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคม
ในสมัยนั้นในภาพสวมเสื้อแขนพองขาหมูแฮม สะพายสายสะพาย นุ่งโจง สีของสายสะพายกับสีของโจงจะเป็นคู่สีตัดกัน
ตามความนิยมของสตรีในวัง ในภาพนุ่งสีลิ้นจี่ห่มสีโศกอันเป็นสีของวันอาทิตย์ ไว้ผมสั้นทรงดอกกระทุ่ม สวมถุงน่อง 
สวมรองเท้าแบบตะวันตก


รัชกาลที่6 แบบพระราชนิยม

               ช่วงต้นรัชกาลยังคงแต่งกายตามแบบสมัย ร.5 ล่วงเข้าช่วงกลางของรัชกาลมีแนวคิดแต่งกายตามแบบพระราชนิยมคือไว้ผมยาว ไว้ฟันขาว ไว้ผมยาวในที่นี้คือไว้ให้ยาวกว่าทรงดอกกระทุ่ม และท้ายสุดคือการนุ่งซิ่นแทนการนุ่งโจงในภาพแต่งกายตามแบบพระราชนิยมคือไว้ผมยาวดัดลอน มีสายคาดศีรษะ สวมเสื้อคลุมตะโพก นุ่งซิ่น สังเกตว่าเสื้อกับผ้านุ่งจะเป็นสีเดียวกันซึ่งเป็นความนิยมที่เอาแบบมาจากตะวันตก

รัชกาลที่7 เสื้อทรงถังเหล้ากับผ้าถุงแบบสั้น

              สมัยรัชกาลที่7กินเวลาตั้งแต่กลางยุค1920ซึ่งทางฝั่งตะวันตกนิยมชุดที่สั้นเห็นเรียวขาโดยชายเสื้อนั้นอยู่ราวสะโพก ไม่มีการเข้ารูป แขนกุด ซึ่งชุดแบบนี้เรียกกันว่า เสื้อทรงถังเหล้า ซึ่งแฟชั่นในยุคนี้ได้ลดทอนการประดับประดาให้ดูเรียบง่ายขึ้นอันเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่1ในภาพเป็นแบบชุดที่ใส่กัน เสื้อทรงถังเหล้าขอบเสื้อตกที่ราวสะโพก นุ่งผ้าถุงสั้นระดับต่ำกว่าครึ่งแข้ง สวมเครื่องประดับพอควร เสื้อนั้นมีการประดับในรูปแบบของศิลปะแนวart deco

รัชกาลที่8 แบบรัฐนิยม

                 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกฯได้ออกกฎหมายว่าด้วยเรื่องรัฐนิยมหลายอย่างเช่นการยกเลิกการกินหมาก ยกเลิกการนุ่งโจง ยกเลิกการตัดผมสั้น สวมหมวก สวมเสื้ิอ นุ่งกางเกงของชาย และการนุ่งกระโปรงหรือผ้าถุงของสตรี เพื่อเป็นการสร้างชาติให้มีอารยะขึ้นในภาพเป็นชุดที่แต่งในงานกลางคืนไม่สวมหมวก ไว้ผมดัดลอนตามสมัยนิยม สวมเสื้อแบบสมัยนิยม นุ่งผ้าถุง

รัชกาลที่9 ชุดไทยพระราชนิยม

          ชุดไทยแบบดั้งเดิมนั้นแทบจะสูญหายไป ชุดไทยพระราชนิยมเกิดจากพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเพื่อหาแบบชุดไทยที่ร่วมสมัยเพื่อทรงในระหว่างเสด็จประพาสยุโรป โดยศึกษาค้นคว้าจากภาพถ่ายเก่าและออกแบบปรับปรุงให้เข้ากับสมัยนิยมมีทั้งสิ้น8แบบในภาพเป็นชุดไทยจักรี เป็นชุดไทยห่มสไบบ่าเดียวโดยไม่สวมเสื้อ ผมวาดโดยให้ออกมาในสไตล์ยุคปี2517 สังเกตว่าชุดจะเข้ารูปแนบเนื้อแบบปัจจุบันและชายผ้านุ่งจะยาวประมาณตาตุ่ม










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น