การแต่งกายตามรัชการที่1-9
รัชกาลที่ 1-3
หญิงชาวบ้านนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน
ห่มสะไบเฉียงทับเหมือนอย่างอยุธยา ผมยังตัดไว้เชิงสั้นอยู่ หรือไว้ผมปีก
(ไว้ผมยาวเฉพาะบนกลางศีรษะ)
รัชกาลที่ 4
หญิงนุ่งผ้าลายโจงกระเบน
ใส่เสื้อคอปิดแขนยาว ห่มสะไบเฉียง (อบร่ำ) ทับตัวเสื้ออีกชั้นหนึ่ง
ทรงผมนิยมไว้ปีกผม
รัชกาลที่ 5
ปลายรัชกาลที่ 5 หญิงไทยเลิกนุ่งผ้าจีบ
เปลี่ยนมาโจงกระเบนแทน เสื้อเป็นแบบผรั่งคอตั้งสูง
แขนยาวมีลูกไม้ตกแต่งเป็นระบายหลายชั้น สวมถุงเท้า รองเท้าส้นสูง ผมยาวประบ่า
ผู้หญิงเริ่มหันไปนิยมเสื้อของอังกฤษ
คือ เสื้อคอตั้งแขนยาว ต้นแขนพองคล้ายขาหมูแฮม
แต่ยังคงมีผ้าห่มเป็นแพรแบบสะไบเฉียง นุ่งผ้าจีบไว้ชายพก ผมไว้ทรงดอกกระทุ่ม
รัชกาลที่ 6
ต้นรัชกาลที่ 6 ผู้หญิงยังคงนุ่งโจงกระเบน
แต่สวมเสื้อลูกไม้แบบตะวันตก คอเสื้อลึก แขนยาวเสมอข้อศอก มีผ้าแพรบางๆ สะพายทับ
ผมนิยมไว้ยาวเสมอต้นคอ
ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน
สวมเสื้อตัวยาวหลวมๆ ส่วนมากใช้ผ้าลูกไม้ฝรั่ง ปักเป็นลวดลายด้วยลูกปัด และไข่มุก
ผมเกล้ามวยแบบฝรั่ง หรือดัดเป็นลอน ดัดผมแบบ ทรงซิงเกิ้ล
รัชกาลที่ 7-8
ผู้หญิงเลิกใช้สะไบแพรปัก
นิยมนุ่งผ้าซิ่นแค่เข่า เสื้อทรงกระบอกตัวยาว ตัดแบบตะวันตก ไว้ผมบ็อบ
ใส่ต่างหูและกำไล สวมสร้อยคอ
ผู้หญิงเลิกใช้สะไบแพรปัก
นิยมนุ่งซิ่นแค่เข่า เสื้อทรงกระบอกตัวยาว ตัดแบบตะวันตก ไว้ผมบ็อบ
ใส่ต่างหูและกำไล สวมสร้อยคอ
รัชกาลที่ 9
ผู้หญิงแต่งแบบไทยพระราชนิยม
"ไทยจักรพรรดิ" ใช้ซิ่นไหมข้างหน้า มีชายพกเอวจีบห่มสะไบ ปักงดงาม
ใช้แต่งในโอกาสพิเศษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น